ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ชอรี่พันธุ์ดี เรื่องมีอยู่ว่า มีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้านและสั่งให้ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแล เพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่พันธุ์ดีนี้และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ

ชอรี่พันธุ์ดี

เรื่องมีอยู่ว่า
มีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้านและสั่งให้ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแล
เพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่พันธุ์ดีนี้และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ ใสปุ๋ย
ดูแลมันอย่างดีเป็นเชอรี่ต้นโปรดของคุณพ่อทีเดียว อยู่มาวันหนึ่งขณะที่คุณพ่อออกไปทำงาน
ลูกชายชื่อจอร์จซึ่งได้ขวานเล็ก ๆ อันใหม่มา ด้วยความซนก็ฟันนู่นฟันนี่
แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้าต้นเชอรี่ค่อย ๆ เอนตัวแล้วก็ล้มลงกับพื้นเหลือแต่ตอที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว เมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้านเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบ
จนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ก็ตะโกนเรียก
ด้วยเสียงอันดังว่า "จอร์จ มานี่ซิ " จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อ
คุณพ่อได้ถามจอร์จว่า
"จอร์จ ลูกรู้ไหมว่าทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้"
จอร์จก้มหน้าแต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า
"ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับว่า
ผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง"
คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน" ….
จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ คุณพ่อก็เข้ามาในห้อง
และถามจอร์จว่า "ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ"
จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ
ผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง"
แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความละอาย
แล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า
"จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่าที่ลูก ของพ่อซื่อสัตย์และกล้าหาญที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดีเต็มสวน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร"
จอร์จจดจำเรื่องราวเหล่านี้และใช้ความกล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดมาจนแม้กระทั่ง
ในการดำรงฐานะเป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน
ฟังแล้วประทับใจในวิธีการสอนของคุณพ่อ แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูก หรือให้ความสำคัญกับสิ่งของ แต่คุณพ่อกลับพูดกับลูกอย่างอ่อนโยนด้วยถ้อยคำที่ทำ ให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต ถ้าคุณพ่อทำโทษแรงๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ได้…..
ในชีวิตมีสักครั้งไหมที่เราจะใส่ใจกับสิ่งที่ยังอยู่
แทนที่จะมัวแต่เสียดายสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน....

แด่ลูกรัก

เดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ยขอโทษ ไม่ตั้งใจ เขากลับตอบ "ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ"
เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกัน
แต่ที่บ้านเย็นวันนั้น ฉันทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง ไม่ทันระวัง ฉันหันกลับมาชน เธอล้มลง
"อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่
ลูกสาวเดินจากไป หัวใจเธอปวดร้าว และคืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ
"กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้ กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอล่ะ"
เรานึกกลับไป เรามองดูที่พื้นครัว ดอกไม้หลากสีที่ลูกเราอุตส่าห์เก็บมาหวังให้เราแปลกใจ
ตกเกลือนอยู่ทั่วไป น้ำตาเธอไหล "เหตุใดฉันไม่แลเห็น" ฉันเพิ่งรู้ตัว เลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปนั่นคุกเข่าข้างเตียงลูก
"ตื่นเถิดคนดี ดอกไม้นี่ลูกเก็บมาให้แม่หรือ"
ลูกตอบ "ใช่ค่ะ หนูเห็นดอกไม้บาน สวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบ โดยเฉพาะดอกสีน้ำเงิน"
ฉันตื้นตันใจนัก "ลูกรัก แม่ขอโทษจริง ๆ ที่เอ็ดหนู"
"แม่จ๋า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรักแม่"
"แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของหนูมาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินจ๊ะ"

หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้
แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าไปชั่วชีวิต ลองคิดดูว่าคุ้มไหม
หากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานมากกว่าครอบครัว

รู้ไหมคำว่า FAMILY ย่อมาจาก
FAMILY = Father And Mother I Love You

ให้เวลากับพ่อ-แม่ของคุณมากขึ้นยามท่านแก่ตัวลง รู้จักแบ่งเวลาให้กับงานและคนที่บ้านให้สมดุลกัน
หากมีใครมาบอกให้จัดความสำคัญเสียใหม่ จงย้อนถามกลับไปว่าครอบครัวสำคัญน้อยกว่าหรือไร?

คริสต์มาส

อย่างน้อยก็สองเดือนก่อนวันคริสต์มาส ตอนที่ อัลมี โรส วัย 9 ขวบ บอกคุณพ่อของแกและฉันว่าแกอยากได้จักรยานใหม่ ขณะที่วันคริสต์มาสใกล้เข้ามา ความอยากได้รถจักรยานของแกดูเหมือนจะจางลง หรือไม่เราก็คิดไปเอง เราจึงซื้อตุ๊กตาเบบี้ ซิตเตอร์สคลับ ที่กำลังเป็นที่นิยมล่าสุด กับบ้านตุ๊กตาเตรียมไว้ให้แก แล้วเราก็ต้องแปลกใจมากที่ วันที่ 23 ธันวาคม แกพูดว่าแก "อยากได้รถจักรยานมากกว่าอะไรทั้งหมด"

มันสายเกินไป ไหนจะเรื่องจุกจิกทั้งหลาย ในการเตรียมอาหารวันคริสต์มาส ไหนจะต้องซื้อของขวัญนาทีสุดท้าย มันสายเกินกว่าจะหาเวลาไปเลือก "จักรยานที่เหมาะสม" สำหรับลูกสาวน้อย ๆ ของเรา ดังนั้นเวลาสามทุ่มของคืนก่อนวันคริสต์มาส เราจึงต้องมาปรึกษากัน ตอนนั้นอัลมี โรส และ ดีแลน น้องชายวัย 6 ขวบของแกนอนสบายอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว

ขณะนี้เราคิดเพียงเรื่องจักรยาน ความรู้สึกผิด และการเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกผิดหวัง "ถ้าผมปั้นจักรยานเล็ก ๆ ด้วยดินน้ำมัน และเขียนโน้ตติดไว้ว่า แกสามารถเอาดินน้ำมันจำลองมาแลกเป็นจักรยานจริง ๆ ได้ล่ะ" พ่อของแกถาม เหตุผลก็คือของชิ้นนี้ราคาแพง และแกก็โตมากแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าให้แกเป็นคนเลือกเอง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสี่ชั่วโมงต่อมา ปั้นดินน้ำมันเป็นจักรยานจำลองด้วยความยากลำบาก

เช้าวันคริสต์มาส เราตื่นเต้นมากที่จะให้อัลมี โรส เปิดห่อรูปหัวใจเล็ก ๆ ที่มีจักรยานดินน้ำมันสีขาวแดงและกระดาษโน้ตอยู่ข้างใน ในที่สุดแกก็เปิดห่อออกและอ่านโน้ตดัง ๆ "นี่แปลว่าหนูต้องแลกจักรยานคันนี้ที่คุณพ่อทำให้หนูกับจักรยานจริงหรือคะ" ด้วยความยินดี ฉันตอบว่า "ใช่จ๊ะ" อัลมี โรส น้ำตาคลอเมื่อแกตอบว่า "หนูคงแลกจักรยานแสนสวยที่พ่อทำให้หนูคันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ หนูอยากเก็บมันไว้มากกว่าจะอยากได้คันจริง" ในตอนนั้นเราแทบจะพลิกแผ่นดินเพื่อซื้อจักรยานทุกคันบนดาวดวงนี้ให้แก

เสียสละ

ในห้องนอนคืนวันนึง พ่อสอนลูกสาววัยห้าขอบของเขาถึงการให้ เมื่อลูกสาวเขาถามความหมายของคำว่าเสียสละ เขาอธิบายแก่เธอว่า เราจะให้ของขวัญที่ดีที่สุดที่คนหนึ่งจะมอบให้กับอีกคนหนึ่งได้คือ สมบัติที่รักมากบางชิ้น ชิ้นที่คนคนนั้นเห็นค่ามากมาก

เวลาผ่านไปสองวัน เมื่อถึงวันเกิดของพ่อ เขาหยิบเสื้อโค้ทมาสวมเพื่อจะไปทำงาน ที่กระเป๋าเสื้อมีเข็มกลัด กลัดกระดาษชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งอยู่ เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน มีลายมือเขียนบรรจงด้วยดินสอสีเทียนสีแดง เขายิ้มเล็กเล็ก "พ่อคือคนที่หนูร้ากที่สุด ของที่หนูให้พ่อเปนของที่หนูชอบมากที่สุด หนูใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อค่ะ" เขาพบอมยิ้มสตอเบอรี่สีแดงสด ที่เขาซื้อให้กับลูกสาวเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่ในกระเป๋า ไม่มีรอยดูดแม้แต่ครั้งเดียว

คนพิเศษ

ความพิเศษ ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก "ไม่ธรรมดา"
ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น "ความพิเศษ"
ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า "พิเศษ" หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ

กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด
ให้ "ความรู้สึกดีดี" จากจิตใจที่ดีดี ให้ "ความอาทรถึง"
จากจิตใจที่นึกถึง ให้ "ความห่วง" จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี "สติ" ให้ไปเถอะ
ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ "คุกกรุ่น" ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้
แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง "ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม"

และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง ก็จงหยุดพักตรึกตรอง
อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด "สิ่งดีดี" จนกระจัดกระจาย
เพราะ "การให้ความหมาย" ไม่ใช่ "การตั้งความหวัง"
คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน
แต่คนสองคน "จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน"
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง "การเรียกร้อง"

"ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" โดยที่ไม่รู้ตัว มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า "ความพิเศษ" ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้

ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ "ความพิเศษ" เป็นชีวิตชีวา เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่ ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นที่ตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า "คนพิเศษ"
คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล ความพิเศษ" นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งหัวใจข้างซ้ายอยู่ตรงกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ