ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หน้าที่ของนาฬิกา

หน้าที่ของนาฬิกา

ถ้าสามารถย่อประชากรโลกลงเหลือเพียง 100 คน
โดยยังคงสัดส่วนต่าง ๆ ของประชากรไว้อย่างถูกต้อง
จะมีสภาพดังนี้

57 คน เป็นชาวเอเชีย
21 คน เป็นชาวยุโรป
14 คน อยู่ทางฝั่งตะวันตก ทั้งทางเหนือและใต้
8 คน เป็นพวกอัฟริกัน

52 คน เป็นผู้หญิง
48 คน เป็นผู้ชาย

70 คน เป็นพวกที่ไม่ใช่ผิวขาว
30 คน เป็นพวกผิวขาว

70 คน ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์
30 คน นับถือศาสนาคริสต์

89 คน เป็นพวกที่มีเพศชัดเจนและชอบเพศตรงข้าม
11 คน เป็นพวกที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพศอะไรและชอบเพศเดียวกัน

6 คน เป็นพวกที่ร่ำรวยมาก และมีทรัพย์สมบัติเท่ากับ 59% ของความมั่งคั่งทั้งโลกรวมกัน โดยทั้ง 6 คนนี้เป็นชาวอเมริกัน
80 คน อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
70 คน อ่านหนังสือไม่ออก
50 คน เป็นโรคขาดอาหาร
1 คน กำลังจะตาย และ 1 คนกำลังจะเกิด
1 คน มีโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรี
1 คน มีคอมพิวเตอร์ใช้

เมื่อมองโลกจากมุมข้างต้นนี้ เห็นได้ชัดว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมาก
รวมไปถึงจะต้องมีการยอมรับ และการทำความเข้าใจในสภาพปัจจุบัน
เป็นสิ่งสำคัญอย่างเห็นได้ชัด

เรื่องต่าง ๆ อีกหลายเรื่องที่น่าคิดด้านล่าง .....
ถ้าท่านตื่นขึ้นในตอนเช้าและมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย
ถือว่าท่านโชคดีกว่าคนอีกเป็นล้านที่ไม่มีชีวิตรอดผ่านสัปดาห์นี้ไปได้

ถ้าท่านไม่เคยอยู่ในสภาพสงคราม ไม่เคยติดคุก
ไม่เคยถูกทรมาณ ไม่เคยอดอยาก ท่านดีกว่าอีก 500 ล้านคนในโลกนี้

ถ้าท่านอยู่ในสภาพที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับ ถูกทรมาณ
หรือถูกฆ่า ท่านโชคดีกว่าคนอีกสามพันล้านคนในโลกนี้

ถ้าท่านมีอาหารเก็บในตู้เย็น มีเสื้อให้ใส่
อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหลังคาและมีที่ให้หลับนอน
ท่านร่ำรวยกว่าคนอีก 75% ของโลกนี้

ถ้าท่านมีเงินในธนาคาร, มีเงินในกระเป๋า,
และมีเศษสตางค์ทิ้งไว้ในถ้วยที่ไหนซักแห่ง
ท่านเป็นหนึ่งใน 8% ของประชากรที่รวยที่สุดของโลก

ถ้าพ่อแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่ด้วยกัน
ถือเป็นเรื่องประเสริฐที่เกิดขึ้นยากมาก
แม้แต่ในอเมริกาและแคนนาดา

ถ้าท่านได้อ่านข้อความนี้ ถือว่าท่านโชคดี 2 ชั้น
ที่มีบางคนคิดถึงท่าน และเหนือกว่านั้น
ท่านโชคดีกว่าคนอีกสองพันล้านคนในโลกนี้ที่อ่านไม่ออกเลย

บางคนเคยพูดไว้ว่า : เรื่องที่ผ่านพ้นไปอย่างไร ก็จะกลับมาอย่างนั้น

ทำงานเหมือนกับท่านไม่ต้องการเงิน (ทำเพราะรักงาน)
รักให้เหมือนกับท่านไม่เคยเจ็บปวด
เต้นให้เหมือนกับไม่มีใครดู
ร้องเพลงให้เหมือนกับไม่มีใครฟัง
ใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุขเสมือนอยู่บนสวรรค์

สุขสันต์ในทุกๆวัน เพราะตราบใดที่เรามีลมหายใจอยู่
นั่นเท่ากับว่า เรามีโอกาสได้ทำดี ได้พบกับประสบการณ์ชีวิต. . .สีสันของชีวิต!!!

พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถ
แต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ ....
พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการ
ดังต่อไปนี้แล้ว จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ
1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
2.ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา
พระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้
จะได้รับรางวัลมหาศาล ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน .....
คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำตารางเวลาที่แน่นอน สำหรับภารกิจแต่ละอย่าง
ทุก ๆ ชั่วโมง ทุก ๆ วัน ทุก ๆ ปี
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม .....
คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้น
แล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมด
แล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่าง
จึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร .....
คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจกรรมต่างๆ
ที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง.....
สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี “สภาแห่งคนฉลาด” และทำตามคำแนะนำของสภานั้น
แต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้
ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น ......
พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์
ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไป
คนที่1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่
คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวช
คนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบ
คำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกัน
คนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา
คนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหาก
คนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงคราม
พระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่ง
ผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง ....
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวย
หรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนา
และสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพัง
พอมาถึงที่อยู่ของ “ผู้รู้” ที่ว่านั้น ....
ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อม
เมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป ....
เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้ว
แต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไป
พระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า “ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน
ขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ
1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง
2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย
3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่
่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไป
จักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ” ..
ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้น
หลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง ...
ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบ
และบอกว่า ”หยุดพักได้แล้วละ... ฉันทำต่อไปได้แล้ว” .....
แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไป
ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขา
จักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า
“ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผม
หากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม”
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า
”เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า” จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตร
ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิด
ออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้อง
เขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป ......
ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิ
และฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น ...
จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้
เพียงประเดี๋ยวเดียว...เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุด
จักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สอง
และทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล ....
เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่ง
ขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว....
ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อม
และให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไป
จักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน....
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวัน
และมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า.....
แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหน
และมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที...
และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอเห็นจัรกรพรรดิ์
ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย”
“แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย” จักรพรรดิตรัสถามกลับ
“ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้
และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาต
ข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพัง
ข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ....
แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหา
แต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้า
พวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บ
แต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่
ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้ว
ข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก ....
หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไป
และจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย ...
ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนัก
ที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย ....
นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ ที่ริบมาจากชายผู้นั้น
ตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล....
จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้ว
จักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้งเพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้าย
และพบว่าฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไว
ฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ “คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่”
“อย่างไรกัน” พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง ...
“เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดิน
ท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับ
และคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน ดันนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้น
ก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน .....
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน"
"จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด ...
ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไป
และท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขา
และบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา" .....
จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ “ปัจจุบัน”
ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา
เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่
และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข
เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต” .....


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ