ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ช่างไม้

ช่างไม้

มีช่างไม้สูงอายุคนหนึ่งต้องการจะเกษียณตัวเอง
ก็เลยบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้าง
เกี่ยวกับความต้องการที่จะเกษียณและใช้ชีวิตที่หรูหรากับภรรยา
ซึ่งช่างไม้ก็บอกว่าเขาอาจจะเสียดายค่าจ้างที่จะได้รับ
แต่เขาก็ต้องการที่จะเกษียณ

นายจ้างก็บ่นเสียดายที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป
แต่ก็ได้ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสัก 1 หลัง
ช่างไม้ผู้นั้นก็ตอบตกลง ครั้นพอบ้านสร้างเสร็จ
ก็พบว่ามันไม่ใช่งานที่เป็นฝีมือของช่างคนนี้เลยแม้แต่น้อย

งานที่ออกมาก็เป็นงานแค่เปลือกนอก(จอมปลอม)
วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ
มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดีที่ไม่สวยหรูเลย

และเมื่อนายจ้างสำรวจงานชิ้นนี้ของช่างผู้นี้
นายจ้างก็ได้ยื่นกุญแจให้แล้วบอกกับช่างไม้ว่า
"นี่คือบ้านของคุณ .......ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ"
เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้น
ถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า
น่าละอายจริงๆ
ถ้าเขารู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่
เขาก็คงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้

เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเอง
ด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆวันละเล็กวันละน้อย
และบ่อยครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการสรรสร้างชีวิตของตนเอง

และเมื่อวัน ๆ หนึ่งมาถึงเราก็จะตระหนักว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด
และเมื่อถึงวันนั้นเรามักจะพูดเสมอว่าถ้าเราสามารถกลับไปได้
เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
.....เพราะพวกเราทุกคนก็คือช่างไม้........
ในทุกๆวัน พวกเรากำลังตอกตะปู, ปูกระดาน
หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงให้กับชีวิตตัวเองดังคำพูดที่ว่า

"ชีวิตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง"

ทัศนคติ และ ทางเลือกต่างที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้
ก็เสมือนกับการสร้าง"บ้าน" (ชีวิต)
ที่เราจะต้องอยู่กับมันให้กับตัวเอง
.......ดังนั้นจงสร้างบ้านด้วยความฉลาด.........จงจำไว้ว่า
"จงทำงานเหมือนกับว่าเราไม่ต้องการเงินทอง"
"จงรู้สึกรักราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักเจ็บ"
"จงเต้น(ร่าเริง)ราวกับว่าไม่มีใครจ้องมองอยู่"

จากบันทึกของพ่อ บทเรียนชีวิตบทที่ 3 ของน้องเฟิร์น

วันที่ 10 ธันวาคม พศ. 2544 เวลา 6 โมงเย็น กว่าๆ ...

เย็นวันนั้น ... หนูกำลังเล่นตุ๊กตาอยู่คนเดียว โดยมีพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ห่างๆ
วิธีเล่นของหนูคือ หยิบตุ๊กตาเดินจากที่หนึ่งไปไว้อีกที่หนึ่ง พอหมดแล้วก็หยิบกลับมาไว้ที่เดิม
วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ ... พ่อก็มองดูด้วยความสงสัยว่าหนูสนุกกับการเล่นแบบนี้ได้อย่างไร
แต่หนูก็เล่นไปได้ของหนูเรื่อยๆ อย่างไม่มีวี่แววว่าจะเบื่อ หรือหยุดเล่น ...

...หนูหอบตุ๊กตาขึ้นมา 3 ตัวเอาไว้กับอก แล้วหนูกำลังจะก้มหยิบขึ้นมาอีกตัว
...หนูตั้งใจที่จะอุ้มทั้ง 4 ตัว เดินเอาไปไว้ในกล่อง
...หลังจากที่หนูพยายามอยู่พักหนึ่ง หนูก็อุ้มขึ้นมาได้ทั้ง 4 ตัว
...หนูอุ้มตุ๊กตาทั้ง 4 ตัว เดินไปได้ราวครึ่งทาง
...ตุ๊กตาตัวหนึ่งก็หล่น
...หนูหยิบตัวที่หล่นขึ้นมา แล้วเดินต่อไปได้อีกหน่อยเดียว
...อีกตัวก็หล่น ...
...ในที่สุดหนูเดินไปถึงกล่องด้วยตุ๊กตาเพียง 3 ตัว

ลูกรัก...ลูกกำลังเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญมากอีกบทหนึ่งในการดำรงชีวิต
ลูกรัก...มันเป็นบทเรียนที่คนผ่านโลกมามากกว่าลูก(บางคน)ยังไม่เข้าใจ

ลูกรัก...การเดินทางบนเส้นทางที่เรียกว่า "ชีวิต" นั้น
............ถ้าลูก "ถือเอาทุกอย่าง" ไปด้วย ลูกจะไปไม่ถึงไหนหรอก
ลูกรัก...หากลูกต้องการจะไปให้ถึงปลายทาง
............ลูกต้อง "วางบางอย่าง" ไว้ข้างหลังเสมอ
ลูกรัก...การเดินทางบนเส้นทางที่เรียกว่า "ชีวิต" นั้น
...........คำว่า "ทุกอย่าง" มันหนักเกินไปนะลูก

วันหนึ่งข้างหน้า ...
เมื่อลูกจมอยู่กับปัญหาชีวิตกองโตที่ลูกแก้ไม่ตก
... ลูกคงจำวันนี้ไม่ได้
เป็นหน้าที่ของพ่อไม่ใช่หรือ ที่จะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ลูกฟัง
...แล้วพ่อจะเล่าให้ลูกฟัง ...
...ขอเพียงแต่วันนั้นลูกจะคิดถึง และ กลับมาหาพ่อ

บันทึกไว้เมื่อ 14 ธันวาคม พศ.2544
พ่อ

เติมคุณค่าให้ชีวิต ด้วยข้อคิดบางประการ

จากนักจิตบำบัด ดร.จอห์น เอช สเกลด์

จริงอยู่ ที่มิตรภาพไม่มีวันหมด แต่คุณอาจลืมไปว่า มันเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อคุณตระหนักว่า ไม่มีใครช่วยคุณ ในเวลาที่คุณมีความทุกข์
ไม่มีใครดีใจอย่างจริงใจกับคุณ ยามเมื่อคุณมีความสุข
เมื่อนั้นคุณเรียนรู้ที่จะหาเพื่อนแท้ให้กับชีวิตคุณได้แล้ว
อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยความเจ็บปวด
ความทรมานที่ได้ประสบผ่านไปกับอดีตด้วย
อย่าละเลยและเพิกเฉยต่อใคร ทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
คุณไม่ได้ตายจากความเจ็บปวดในชีวิตที่ผ่านมา
แต่มันทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น
อย่าให้ชีวิตขึ้นกับคนอื่น เพื่อทำให้คุณมีความสุข
ชีวิตแต่งงานและครอบครัว เป็นเรื่องที่สำคัญ
จงอย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ
แสดงความชื่นชมกับคนที่คุณรักและห่วงใย ในทุก ๆ วัน
ไม่ใช่แค่วันหยุดหรือวันเกิด
ถ้าคุณยืมมา (จงคืน)
ถ้าคุณทำพัง (จงซ่อม)
ถ้าคุณรู้แล้ว (ปล่อยมัน)
ถ้าคุณต้องการ (ร้องขอ)
ถ้าคุณใช้ (ทำให้สะอาด)
ถ้าคุณใส่ (แขวนไว้ที่เดิม)
ถ้าคุณทำผิดพลาด (แสดงความรับผิดชอบ)
ถ้าคุณเชื่อ (คุณจะประสบความสำเร็จ)
ถ้าเป็นเจ้าของ(จงปกป้อง)
ถ้ามี (จงแบ่งปัน)
ถ้าคุณรักใครสักคน (จงแสดงออก)
ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยโอกาส
ซึ่งนำพาทั้งความสุขและบทเรียนมาให้คุณ
เมื่อใดก็ตามที่ผิดหวัง จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
อย่างน้อยที่สุด ก็มีคนที่รักคุณอย่างจริงใจ นั่นคือ
พ่อแม่ของคุณเอง
จากคุณ : ผู้ใหญ่ลี แห่ง pantip.com

1. I love you not because of who you are, but because of who I am when I am with you.
2. No man is worth your tears, and the one who is, won't make you cry.
3. Just because someone doesn't love you the way you want them to,
doesn't mean they don't love you with all they have.
4. They say love hides behind every corner, then I must be walking in circles.
5. A true friend is someone who reaches for your hand and touches your heart.
6. The worst way to miss someone is to be sitting right beside them,
knowing you can't have them.
7. Never frown, even when your are sad, because you never know who is falling in
love with your smile.
8. To the world you may be one person, but to one person you may be the world.
9. Don't waste your time on someone, who isn't willing to waste their time on you.
10. Maybe God wants us to meet a few wrong people before meeting the right one,
so that when we finally meet the person, we will know how to be grateful! .
11. Don't cry because it is over, smile because it happened.
12. There's always going to be people that hurt you, so what you have to do is
keep on trusting and just be more careful about who you trust next time around.
13. Make yourself a better person and know who you are before you try and know
someone else and expect them to know you.
14. Don't try so hard, the best things come when you least expect them to. "
People are like stained glass windows. They sparkle and shine when
the sun is out, but when the darkness sets in, their true beauty is
revealed only if there is a light from within. "
" Lucky is the man who is the first love of a woman but Luckier is the woman
who is the last love of a man. "

สำหรับทุกคนที่กำลังมีความรักหรือกำลังได้รับความรัก
1. ฉันรักคุณไม่ใช่เพราะความเป็นคุณ แต่ฉันรักคุณเพราะความเป็นฉัน เมื่อฉันอยู่กับเธอ
2. ไม่มีผู้ชายคนใดมีค่าพอที่จะทำให้คุณเสียน้ำตา และผู้ชายที่มีค่าพอ ก็จะไม่ทำให้คุณร้องไห้
3. การที่ใครบางคนไม่ได้รักคุณอย่างที่คุณต้องการ ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่รักคุณเลย
4. มีคนบอกว่า ความรักถูกซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ดังนั้น ฉันก็ควรจะตามหารักเป็นวงกลมซินะ
5. เพื่อนที่แท้จริงคือใครบางที่แค่เอื้อมมาจับมือเราก็สามารถสัมผัสใจเราได้
6. ความคิดถึงที่เลวร้ายที่สุด คือการที่ได้นั่งข้างๆ เขาโดยรับรู้ว่า คุณไม่สามารถครอบครองเขาได้
7. อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมด แม้เมื่อคุณเศร้า เพราะคุณอาจจะไม่รู้ว่า มีใครบางคนประทับใจกับรอยยิ้มของคุณแค่ไหน
8. สำหรับโลกใบนี้ คุณอาจจะเป็นเพียงใครคนหนึ่ง แต่สำหรับใครคนหนึ่ง คุณอาจจะเป็นโลกทั้งใบของเขา
9. อย่าเสียเวลาของคุณกับใครที่เขาไม่ยินดีที่จะเสียเวลากับคุณ
10. พระเจ้าอาจจะต้องการให้คุณพบกับคนที่ทำให้คุณเสียใจบ้าง ก่อนที่คุณจะพบคนที่ทำให้คุณสุขใจ
เพื่อที่ว่า เมื่อคุณพบเขาคนนั้นแล้ว คุณจะได้รับรู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร
11. อย่าร้องไห้กับช่วงเวลาที่จบลง แต่จงยิ้ม เพราะช่วงเวลานั้นได้เกิดขึ้นกับคุณ
12. ไม่แปลกหรอกนะที่คุณจะเจ็บปวดเพราะใครบางคน ดังนั้น สิ่งที่คุณควรจะทำก็คือ
อย่ากลัวที่จะเชื่อใจใคร เพียงแต่เพิ่มความระมัดระวังกับคนที่จะเชื่อใจครั้งต่อไป
13. ทำตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น และรู้จักตัวเองว่าตัวเองเป็นอย่างไร ก่อนที่คุณจะพยายามรู้จักผู้อื่น
และต้องการให้ผู้อื่นรู้จักคุณ
14. อย่าพยายามมากเกินไป เพราะสิ่งที่ดีที่สุดมันจะได้มาอย่างไม่คาดหวัง

คนเรามันก็เหมือนกับกระจกสี ที่มักจะส่งแสงระยิบระยับล้อหลอกกับแสงอาทิตย์
แต่เมื่อความมืดคลืบคลานมาเยือน ก็สามารถแสดงความงามที่แท้จริงที่สะท้อนออกมาจากภายใน

จะเป็นสิ่งที่ดีมากเลยถ้าชายหนุ่มได้เป็นรักครั้งแรกของหญิงสาว
แต่จะดีไปกว่านั้น หากหญิงสาวได้เป็นรักครั้งสุดท้ายของชายหนุ่ม

"ว้าว..." ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?

วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น .... ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ....
เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย
เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิดแม้จากระยะไกล ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปรอะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ
และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความหวาดหวั่น รอคอยที่จะถูกทำโทษ
พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ .....
หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก... หนังสือคือความรู้ และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก..... สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก
แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้ หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน !!
พ่อกลับนั่งลง ... หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้ แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง
พ่อเขียนที่ข้างๆ ลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า
"ภาษาของแอนดี้ เมื่ออายุสองขวบ..... ต่อไปไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด
พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้
มาให้ขีดเขียนบนหนังสือ แสนหวงของพ่อ ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย....
เหมือนกับที่พี่ ๆ ของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน"
"ว้าว..." ฉันคิด นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?
นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น
ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น
"อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง"
ซึ่งนั่นก็คือ "คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ" ลองมองย้อนดูตัวคุณเองในแต่ละวัน เหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ
แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อตัวเก่งของคุณ และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า....
"เดี๋ยวผมเทเองก็ได้" นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน.....
เพราะอาหารมื้อนั้น ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว... แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด ผมจะหวนนึกถึงร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป...
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารัก ละเอาใจใส่ผมมากเท่าใด....
อยากปรนนิบัติเอาใจ (จนเทซอสหกใส่ผม) แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว
ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง) รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว.....
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่ นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก... แล้วคุณละคะ เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือยัง?

อุทาหรณ์แด่คนไม่กล้าบอกรักใคร

เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันอายุ 6 ขวบ
ขณะกำลังเล่นอยู่ที่ฟาร์มในแคลิฟอร์เนีย

ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง ประเภทที่เขาอาจแหย่คุณและคุณก็แหย่เขากลับ
กลั่นแกล้งกันไปมาv พูดง่ายๆ ว่าตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกัน
แล้วพอได้มาเจอกันอีกก็แหย่กันเล่นตรงบริเวณรั้ว
และที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา
ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ
เขาเป็นคนเงียบ ๆ คอยแต่นิ่งฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่
เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุก ๆ เรื่อง

ตอนอยู่ในโรงเรียนเราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้านเราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวในโรงเรียน
.....วันหนึ่งฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉัน
เขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอกสักพักมันจะดีไปเอง

ฉันเลยสบายใจขึ้น และยิ่งทำให้นึกว่า เขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน
นั่นเป็นความรู้สึกในตอนนั้นของฉันจริง ๆ .....
เราเรียนด้วยกันเรื่อยมาจากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย
คบหากันมาโดยตลอด แม้ฉันจะคิดเสมอว่า เราเป็นแค่เพื่อน
แต่ลึก ๆ แล้ว...ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่

ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน
แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี
เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด ฉันแวะไปหาเขา
เพื่อจะบอกว่าฉันอยากจะขอพบเธอ
อือ ...
นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว แต่ที่สุดแล้วเราแค่นั่งดูดาว
ผลัดกันเล่าแผนการชีวิตของกันและกัน...
ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่า เขาอยากแต่งงานและวางหลักปักฐาน
ทั้งยังคุยถึงวิถีทางที่ จะทำให้ตัวเองร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิต
...โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เขา

คืนนั้นฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกอันปวดร้าว
ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดออกไปดังใจปรารถนา
ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจฉันเจ็บปวด
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด
แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคน อยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ
...หลังจากนั้นเขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก
แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น
แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม
ขณะที่เขากำลังจากไป ฉันกอดเขาแล้วร้องไห้
คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง

คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
เมื่อนึกถึงว่า ที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง
ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขาฯ
แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์
รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

วันหนึ่ง

ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์
มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา
แต่อีกใจก็ยะเยียบเศร้า
ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่า ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว
อย่างมากที่สุดเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน
...งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรม ฉันได้พบจ้าสาว และแน่ละ
ได้พบเขาด้วยแล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง
ฉันเก็บความลับนี้ไวกับตัวเอง
...ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา
คืนนั้นฉันพยายามทำตัวให้สนุก แต่กลับกลายเป็นว่าฉันกำลังฆ่าตัวเอง
ด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา
ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม
และทำตัวให้มีความสุขเพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก
มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง
ตลอดหลายปีมานี้เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย
เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมาก อยากจะมีโอกาสได้คุยกับฉันอีก

...และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6
ฉบับฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้น
แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆบอกว่า "ขอให้มาพบผมตรงรั้ว ณ
ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง"
ฉันไปตามนัดและพบเขาอยู่ที่นั่นจริง ๆ เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก

เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก
และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา
เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ...ในที่สุด
เราก็เดินเข้าไปในบ้านคุยกันและหัวเราะ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้
ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง
หลายวันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เขากลับมามีความสุข และลืมปัญหาการหย่าร้าง
ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง

เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก
...ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา ไม่อยากห็นภาพเขาเดินจากไป

แม้เขาสัญญาว่าจะบินมาหาฉันทุกเมื่อ ที่ฉันสามารถลางานได้
แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป
โดยส่วนลึกในหัวใจแล้วเราต่างมีความสุขเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน

วันหนึ่งเขาก็ไม่ได้กลับมาอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้
ฉันได้แต่คิดว่า คงเป็นเพราะเขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้
มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือนจนลืมเรื่องนี้ไป
และแล้วทนายความจากนิวยอร์ก ก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์
...เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย
เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉันในวันนั้น
นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอกหัก

คืนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ อย่างเขา
ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อร่วมรับฟังการเปิดพินัยกรรม
แน่นอนที่สุดสมบัติต่าง ๆ เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา

ฉันได้พบภรรยาเขาอีก
เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขาให้ฉันฟัง และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง
แต่กลับสัมผัสได้ว่า
เขาไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่าง ๆ นานาแล้วก็ตาม
แต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย

ในพินัยกรรมระบุว่า
ฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา
ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น
เมื่อเสร็จธุระฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย
ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา
...และเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน
สมุดบันทึกนั้นเริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน
อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้

เมื่อพบข้อความว่า
เขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก แต่เขาก็ขลาดเกินไป ที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวันนั้น.... เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง
จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า เขาพยายามจะบอกฉันหลายครั้ง
แต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ

เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุด จึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉันและเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน
ซึ่งเขาพยายามจินตนาการว่า นั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา
นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข
จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา
...ส่วนเวลาที่มีความสุข กลับเป็นวินาทีที่เขากำลังอ่านจดหมายของฉัน
ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า
"แล้วก็มาถึงวันนี้ ...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ... "
แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
...วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา.......

สุดที่รัก กับรักที่สุด

'สุดที่รัก' มาถามฉันว่า "รักแค่ไหน"
ฉันตอบ "รักที่สุด"

พ่อแม่มาถามฉันว่า "รักแค่ไหน"
ฉันตอบ "รักที่สุด"

พี่น้องมาถามฉันว่า "รักแค่ไหน"
ฉันตอบ "รักที่สุด"

เพื่อนสนิท มาถามฉันว่า "รักแค่ไหน"
ฉันตอบ "รักที่สุด"

สัตว์เลี้ยงฉันออกลูก
ฉันก็พูดกับมันว่า "รักที่สุด"

ต้นไม้ฉันออกดอก
ฉันก็บอกมันว่า "รักที่สุด"

สุดที่รัก กลับมาถามในวันหนึ่ง "ตกลงเธอรักฉันที่สุดรึเปล่า"
ฉันตอบ "รักที่สุด"
สุดที่รักถาม "แล้วพ่อแม่ พี่น้องกับคนอื่นๆ ล่ะ ไม่ได้รักที่สุดเหรอ"
ฉันตอบ "รักที่สุดเหมือนกัน"
สุดที่รักโมโห "ฉันเป็นสุดที่รักของเธอ เธอต้องรักฉันที่สุดคนเดียว"
ฉันคิดนิดหนึ่ง "แต่ฉัน...รักที่สุดทุกคน"
สุดที่รักงอน "คนหลายใจ...ไปตายซะ"
ฉันผิดตรงไหน ที่ฉันรักคนสำคัญในชีวิตฉันทุกคน
ฉันสับสน ฉันจึงไปโดดน้ำตายตามคำสุดท้ายของสุดที่รัก
ฉันขึ้นไปบนสะพานที่สูงที่สุด กระโดดลงไปในแม่น้ำตรงจุดที่ลึกที่สุด
ฉันไม่ตาย เพราะฉันว่ายน้ำเป็น และฉันก็ รักตัวเองที่สุด
ฉันว่ายน้ำไปข้างหน้าเรื่อยๆ
จากแม่น้ำออกทะเล จากทะเลออกมหาสมุทร
ว่ายจนกว่าจะสุดทาง ผ่านเกาะ ผ่านประเทศต่างๆ มากมาย
แล้วฉันก็วนกลับมาที่เดิม สะพานเดิมที่ฉันกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
ฉันค้นพบแล้วว่า... โลกกลม
มีเกาะ มีประเทศ ตั้งอยู่บนตำแหน่งต่างๆ บนโลก ไม่ทับซ้อนกัน
ทุกเกาะ ทุกประเทศมีความสำคัญ มีหนึ่งเดียว และอยู่ทุกมุมสุดของโลก
เหมือนความรักของฉัน เป็นทรงกลม มีคนสำคัญตั้งอยู่บนตำแหน่งต่างๆ ของความรัก
แต่ละคนมีหนึ่งเดียว ไม่ทับซ้อนกัน
ทุกคนคือ 'สุดที่รัก'
และฉันก็ 'รักที่สุด'

คอลัมน์ นิทานบัวไร โดยบัวไร จาก มติชนวันอาทิตย์ ที่20/01/02

สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา.....คือชีวิตเรา
สิ่งที่มีค่าที่สุดในใจเรา....คือหัวใจเรา
อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร
อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนเดียว
อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดและดีที่สุดของเราไปให้ใครดูแล
เพราะไม่มีใคร...ที่จะดูแลมันได้ดีไปกว่าตัวเราเอง
อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ
อย่าบอกว่าเกิดมาเพื่อรักคน ๆ เดียว
คนใจแคบเท่านั้น...ที่เกิดมาเพื่อรักคนได้คนเดียว
เราสามารถรักใครต่อใครได้มากมาย
ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก
หน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อคนที่เรารัก
รักต่างแบบ...ปฏิบัติในหน้าที่ต่างกัน
แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่ง...
คนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีใคร
เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมาย...
และไม่เห็นต้องเจ็บเจียนตาย...
ถ้าเรามั่นใจ...ว่าเราทำหน้าที่ให้รักนั้น เต็มที่แล้ว
อากาศ...ร้อนอบอ้าว
ออกมายืนคุยกับแสงแดด
อากาศหนาว...หนาวขาดใจ
ออกมาหาอุ่นไอลมหนาว
เราจะรู้ว่าร้อนหรือหนารว ก็ต่อเมื่อเราได้สัมผัสกับมัน
ก็เหมือนความรัก...อยากรู้ว่ารสชาดเป็นอย่างไร
ก็ต้องไปสัมผัสกับมัน...แต่อย่าทรมานตัวเอง
ด้วยการยืนตากแดดนาน ๆ หรือยืนต้านทานลมหนาว
ถ้ารู้ว่าร้อนนักก็หลบที่ร่ม
ถ้ารู้ว่าหนาวนัก ก็ก่อเตาผิง
ความรักจะไม่ทำร้ายเรา...แสงแดดจะทำให้เธออุ่น
ลมหนาวจะทำให้เธอหลับสบาย

ชายสองคนกำลังป่วยหนักด้วยกันทั้งคู่
และถูกจัดให้อยู่ในห้องคนไข้เดียวกัน
ชายคนหนึ่งได้รับอนุญาตให้ลุกนั่งบนเตียง
เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงทุกบ่าย
เพื่อช่วยให้ของเสียไหลออกจากปอดได้สะดวกขึ้น
เตียงของผู้ป่วยคนนี้ตั้งอยู่ ข้างหน้าต่างบานเดียวของห้องนั้น
ส่วนชายที่อยู่อีกมุมหนึ่งต้องนอนจมอยู่บนเตียงตลอดเวลา
เขาทั้งสองมักจะมีเรื่องราวพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเสมอ
ทุกๆ บ่ายเมื่อชายข้างหน้าต่างลุกขึ้น
เขาก็จะเล่าให้เพื่อนร่วมห้องฟังถึงทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เขามองเห็นผ่านหน้าต่างบานนั้น
ขณะที่ผู้ฟังก็รู้สึกมีความสุขกับห้วงเวลาหนึ่งชั่วโมงดังกล่าว
เพราะไม่เพียงทำให้โลกของเขากว้างขึ้น
หากยังช่วยให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา
กับกิจกรรมและสีสันของโลกข้างนอกนั้นอีกด้วย

......... ครั้งหนึ่ง
เขาได้ฟังการพรรณนาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ที่มีเป็ดและห่านเริงเล่นน้ำกันอยู่ในทะเลสาบ
ขณะเด็กๆสนุกสนานไปกับการละเล่นบนเรือ
หนุ่มสาวเดินเกี่ยวก้อยพลอดรักอยู่
ท่ามกลางมวลดอกไม้หลากสีและสายรุ้ง
โดยมีต้นไม้ชราสูงใหญ่เพิ่มความสงบงามให้กับสวน
อีกทั้งยังพลอยเห็นภาพทิวทัศน์ของเมือง
ที่ตัดกับเส้นขอบฟ้าโพ้นไกล
เนื่องจากผู้อยู่ใกล้หน้าต่างได้บรรยาย
ทุกสิ่งอย่างละเอียดลออถี่ถ้วน
ชายอีกมุมหนึ่งจึงจินตนาการตามไปได้อย่างรื่นรมย์
ในบ่ายที่อากาศสบายๆวันหนึ่ง
ชายคนนั้นได้เล่าว่ามีขบวนพาเหรดกำลังเดินผ่านไป
แม้ชายอีกคนจะไม่ได้ยินเสียงดนตรีจากวงดุริยางค์ก็ตาม
เขาก็สามารถสัมผัสมันได้ด้วยใจจาก
ถ้อยบรรยายของเพื่อนร่วมห้องข้างหน้าต่างเป็นอย่างดี
.................
เวลาเคลื่อนคล้อยจากวันเป็นหลายสัปดาห์...
เช้าวันหนึ่ง
พยาบาลประจำเวรได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของเธอ
เพื่อดูแลทำความสะอาดร่างกายให้ชายทั้งสอง
เธอได้พบว่าคนไข้ใกล้หน้าต่างได้สิ้นลมไปแล้ว
เขาจากไปอย่างสงบในขณะกำลังหลับ...
นี่นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจแก่เธออย่างมาก
จากนั้นเธอก็เรียกผู้ช่วยให้นำศพออกไปจากห้อง
เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร
ชายที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องจึงขออนุญาต
ย้ายไปพักเตียงใกล้หน้าต่าง
พยาบาลยินดีจัดการให้ตามความประสงค์ของเขา
และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
เธอก็ขอตัวออกไปจากห้อง ปล่อยเขาไว้เพียงลำพัง
แล้วเขาก็ค่อยๆ
ยันตัวเองด้วยข้อศอกข้างเดียวเพื่อจะมองดูโลกข้างนอก
ด้วยสายตาของตนเองเป็นครั้งแรก
แน่ละ...เขาควรจะมีความสุขที่มีโอกาสสัมผัสมันด้วยตนเอง
เขาชะเง้อคออย่างช้าๆ เพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
แต่แล้ว!
ภาพที่เขาพบกลับเป็นเพียงกำแพงโล่งๆ
ชายผู้นี้จึงสอบถามพยาบาลในเวลาต่อมา
อะไรกันเล่าที่ทำให้เพื่อนผู้จากไปของเขา
เที่ยวได้พรรณนาเป็นคุ้งเป็นแควถึงสิ่งต่างๆ
ที่อยู่นอกหน้าต่างบานนี้ให้เขาฟัง
พยาบาลคนเดิมแจ้งให้เขาทราบว่า...
แท้แล้วชายคนนั้นตาบอด
เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แม้แต่กำแพง
"บางทีเขาอาจอยากให้กำลังใจคุณก็ได้!"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ ข้อสอบครูชำนาญการพิเศษ,สอบครูชำนาญการพิเศษ